Sunday, January 21, 2007

บทที่2

บทที่ 2
ในการศึกษาครั้งนี้ได้รวบรวมข้อมูลและทฤษฎีที่เกี่ยวโดยรายละเอียดดังนี้
1.ความหมายและประเภทของงานออกแบบผลิตภัณฑ์
2.วัสดุและอุปกรณ์สำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์
3.กระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์
4.เออร์กอนอมิกส์
5.ข้อมูลที่เกี่ยวข้อกับตากอากาศบางปู
1.ความหมายและประเภทของงานออกแบบผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์ คืออะไร จากพจนากรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 ได้ให้ความหมายคำว่า “ผลิต” คือ เป็นนามเเปลว่าทำให้เกิดผล และกริยาแปลว่าผลิออก ออกผล งอกแล้ว เผล็ดออก ส่วนคำว่า “ภัณฑ์” คือ สิ่งของ เครื่องใช้ ดั้งนั้น คำว่า “ผลิตภัณฑ์” จึงหมายถึงสิ่งของเครื่องใช้ที่ทำหรือประดิษฐ์ขึ้น หรือสร้างให้เกดขึ้น สำหรับทางเคมีนั้น”ผลิตภัณฑ์” หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทางปฏิกิริยาเคมี สิ่งที่เกิดขึ้น (Product) (มนตรี ยอดบางเตย พ.ศ.2538 : 2 )
ลักษณะของงานผลิตภัณฑ์ที่จะทำการผลิตใหม่นั้นอาจเป็นลักษณะของการปรับปรุงแก้ไข เลียนแบบบางประการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เดิม หรือสร้างสรรค์คิดค้นขึ้นมาใหม่ก็ได้ ทั้งนี้ผู้ออกแบบจำเป็นจะต้องเข้าใจชัดเจนถึงเงื่อนไข (Criteria) ในการออกแบบงานชิ้นนั้นๆ ด้วย อาทิเช่น การออกแบบรีโมทคอนโทรลแบบพวงกุญแจของรถยนต์ ซึ่งอุปกรณ์นี้จะถูกพกไว้ในกระเป๋า และอาจใช้งานในเวลากลางคืน ดังนั้นเงื่อนไขของการออกแบบก็คือต้องหยิบจับใช้งานคอนโทรลนี้ได้อย่างสะดวกคล่องตัวในลักษณะที่ตามองเห็นและตามองไม่เห็น(คือใช้ในที่มืด) ด้วย ( ออส่วน “นี่ไงออกแบบผลิตภัณฑ์” พ.ศ. 2543 : 9 )
ผลิตภัณฑ์จึงถูกแบ่งเป็นกลุ่มหรือประเภทต่างๆกันคือ
-ผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคทั่วไป (Consumer Product )
-ผลิตภัณฑ์เพื่อที่ใช้ในสำนักงาน เพื่อการค้าหรือการบริการ (Office, Commercial and
Service Equipment )
-การผลิตเครื่องจักรกล ความทนทานสูง (Mechanical and Durable Product )
-ผลิตภัณฑ์ยางยนต์เพื่อการเดินทางขนส่ง (Transportation Purduct )
ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ นักออกแบบจะต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้มนุษย์ได้ใช้สอยผลิตภัณฑ์นั้นๆ อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีความสบายทั้งกายและใจ ไม่ว่าผลิตภัณฑ์นั้นๆ จะอยู่ในกลุ่มประเภทใด ดังที่กล่าวมาแล้วก็ตาม ทั้งนี้ก็เพื่อยกระดับคุณค่าของความเป็นมนุษย์ (Human Value )นั่งเอง
ปัจจัยในการออกแบบ (Design Factors) ที่ควรคำนึงถึงในการออกแบบผลิตภัณฑ์มีหลายข้อคือ
-ประโยชน์ใช้สอย (Function) เป็นจุดเริ่มต้นที่นักออกแบบจะต้องหาความหมายที่ชัดเจน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ไว้ให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม คุณสมบัติข้อนี้เป็นเสมือนโจทย์ที่กำหนดประเด็นสำคัญของการออกแบบผลิตภัณฑืนั้นๆ
-ความงามหรือลักษณะดึงดูดใจลูกค้า (Aesthetics or Sale Appeal ) เป็นลักษณะทางกายภาพที่มองเห็นด้วยนัยน์ตา อังจะช่วยโน้มน้าวจิตใจคนให้สนใจซื้อ ความงามของผลิตภัณฑ์เป็นผลมาจากการประยุกต์ใช้ทฤษฎีทางการออกแบบและศิลปะอย่างเหมาะสม
-เออร์กอนอมิกส์ (Ergonmics ) เพื่อให้มนุษย์ใช้งานผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม สะดวกสบายที่สุด นักออกแบบจึงต้องเข้าใจถึงความสามารถ และขีดจำกัดในการใช้ร่างกายของมนุษย์ในการทำกิจกรรมต่างๆ
-ความปลอดภัย (Safety ) ควรออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ดูน่าเชื่อถือ มีระบบป้องกันอันตรายที่เหมาะสมตามลักษณะเฉพาะหรือเงื่อนไขของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
-โครงสร้างและความทนทาน (Constrution or Durability ) การมีความแข็งแรงและความทนทานของผลิตภัณฑ์เป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สัมพันธ์กับราคาด้วย
-การบำรุงรักษา (Maintenance) เป็นเงื่อนไขทางการตลาดที่สำคัญประการหนึ่งในการที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ ซึ่งควรมีการซ่อมแซมได้สะดวก ตลอดจนปรับแต่งชิ้นงานเพื่อการใช้งานได้ง่าย
-ราคา (Cost ) เป็นการกำหนดขอบเขตความหมายของปัญหางานออกแบบ และกระบวนการตัดสินใจเลือกวิธีการแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับงบประมาณที่มีอยู่
การออกแบบผลิตภัณฑ์ จึงสรุปคำว่า “ ผลิตภัณฑ์ ” คือ สรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นความพยายามประดิษฐ์ขึ้น ทำให้เกิดขึ้นจากแรงงานและสมองของมนุษย์ ตามความต้องการและความจำเป็น เพื่อความสดวกต่อการดำเนินชีวิต
สรุป ขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์ตั้งแต่เริ่มลงมือจวบจนกระทั้งผลิตภัณฑ์สำเร็จเสร็จสมบูรณ์จึงมีขั้นตอน วิธีคิด วิธีออกแบบที่จะต้องถึงพร้อมไปด้วยความลงตัวในทุกๆ ด้าน จึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดีและเหมาะสม
2.วัสดุและอุปกรณ์สำหรับงานออกแบบผลิตภัณฑ์
-กระดานรอง หรือ โต๊ะเขียนแบบ (Technical Tables )
-กระดาษเขียนแบบ (Drawing and Drafting Paper )
-ดินสอเขียนแบบ (Technical Pencils )
-ยางลบ (Erasers )
-ปากกาเขียนแบบ (Technical Pens )
-ฉากตัว “ T ” หรือบรรทัดเลื่อน (T-Square, T-Slide )
-ฉากสมาเหลี่ยม (Set- Square, The Triangls )
-บรรทัดมาตราส่วน (Scale Rulers )
-บรรทัดโค้ง (Irregular Culers )
-บรรทัดกระดูกงู (Adjstable Curve Rulets )
3.กระบวนการออกแบบงานผลิตภัณฑ์
3.1 หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์
การออกแบบถือเป็นแขนงหนึ่งทางด้านศิลปะ จะต้องมีหลักเกณฑ์ในการสร้างสรรค์ ดังนั้น หลักการออกแบบ จึงแสดงออกมาทางด้านความงาม หรือโครงสร้างของศิลปะ ซึ่งนักออกแบบจะต้อง คำนึงถึงหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ
3.1.1. ความเป็นหน่วย หมายความว่า จะต้องคำนึงถึงว่างานทั้งหมดจะต้องอยู่ในกลุ่ม ลักษณะเดียวกัน มีความสัมพันธ์กัน ในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นชุดหรือหลายขนาด การออกแบบ ควรคำนึงถึงรูปแบบของความเป็นหน่วย เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เกิดความเป็นเอกลักษณ์
3.1.2. ความสมดุล หมายความว่า จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของผลิตภัณฑ์ด้วย ซึ่งอาจจะมาจากองค์ประกอบต่างๆ กัน เช่น รูปทรง ขนาด สีสัน เป็นต้น
3.1.3. ความสัมพันธ์ทางศิลปะ หมายความว่า จะต้องคำนึงถึง ความสัมพันธ์กันของ ผลิตภัณฑ์ทางด้านศิลปะ จะเป็นในเรื่องของการเน้นส่วนสำคัญ ส่วนสำคัญรอง จังหวะ ความแตกต่าง และความกลมกลืน
ส่วนหลักการในการออกแบบผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ควรจะคำนึงถึงหน้าที่ใช้สอย ความปลอดภัย ความแข็งแรงของโครงสร้าง ความสะดวกสบายในการใช้ ความสวยงาม ราคาและ สามารถซ่อมแซมได้ง่าย

ขั้นตอนการออกแบบผลิตภัณฑ์
ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม เพื่อตอบสนองต่อผู้บริโภคที่มีจำนวนมากขึ้น ปัจจัยหลัก ที่ต้องคำนึงถึงทางด้านธุรกิจก็คือเงินทุน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีความระมัดระวังในขั้นตอนของ การออกแบบ เพราะถ้าทำโดยขาดหลักการและวิธีการที่ดีแล้ว อาจทำให้สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ออกมา ไม่ได้รับความนิยม จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ย่อมหมายถึงความล้มเหลวทางด้านธุรกิจ ดังนั้น ในการออกแบบควรปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้

ขั้นเตรียมงานขั้นแรก
ในขั้นตอนนี้ จะมีขั้นตอนประกอบในส่วนของการค้นคว้า วิจัย การวิเคราะห์หน้าที่ของ ผลิตภัณฑ์ การศึกษาเกี่ยวกับวัสดุและกรรมวิธี และข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ
ขั้นการออกแบบ
ในขั้นตอนนี้ นับว่าเป็นขั้นที่นักออกแบบ ได้สัมผัสกับงานอย่างละเอียด ใกล้ชิดในทุก ๆ ขั้นตอน อาจจะทำเป็นคณะหรือเป็นบุคคลเดียวก็ได้ สิ่งที่นักออกแบบต้องคำนึงถึงในการออกแบบผลิตภัณฑ์ คือ
1. หลักการออกแบบผลิตภัณฑ์
2. ข้อควรคำนึงในการออกแบบ
3. การเขียนแบบร่าง
4. การเขียนแสดงภาพเหมือนจริง
3.1 ความหมายของ “ของที่ระลึก”
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่มีการคบหาสมาคมกันในกิจการหนึ่ง ในระยะเวลาหนึ่งจนทำให้เกิดความผูกพันชอบพอขึ้นในความรู้สึก และเป็นพื้นฐานทำให้เกิดความอยากจะปะทะสัมพันธ์กันในระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ หรือเกิดความผูกพันขึ้นระหว่างมนุษย์กับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ เหตุการณ์ วัตถุ ฯลฯอันนำไปสู่ความทรงจำและการระลึกถึงในเมื่อกิจกรรมนั้นได้ล่วงพ้นไป
ความต้องการที่จะให้การทรงจำในส่วนที่เกี่ยวข้องนี้ ปรากฏขึ้นในความรู้สึกอย่างปะติดปะต่อกันแม้เวลาจะล่วงเลยไปแล้วก็ตาม
สรุปความหมายของคำว่า “ของที่ระลึก” ขั้นแรกอาจจะทำได้โดยแยกความหมายของคำที่มาประกอบกันเสียก่อน “ของ” อาจหมายถึงสิ่งของ, “ที่ระลึก” อาจหมายถึงที่ทำให้นึกถึงหรือคิดถึง, (ราชบัณฑิตยสถาน 2525 :135 และ 686) ดังนั้น “ของที่ระลึก” อาจหมายถึงสิ่งที่ทำให้เกิดความคิดถึงหรือความนึกถึง และอาจจะสรุปความหมายของคำเช่นนี้ อาจให้คำจำกัดความที่มีแนวความหมายในลักษณะคล้ายๆคลึงกันออกไปได้อีก
ของที่ระลึก อาจหมายถึงสิ่งต่างๆ ที่นำมาใช้เป็นตัวจูงใจ ให้เกิดการคิดถึงหรือนึกถึงเรื่องราวที่ได้เกี่ยวข้อง
ของที่ระลึก อาจหมายถึงสิ่งที่ใช้เป็นสื่อเพื่อหวังผลทางด้านความทรงจำ ให้สิ่งที่ผ่านมาในอดีตกลับกระจ่างชัดขึ้นในปัจจุบัน
ของที่ระลึก อาจหมายถึงสัญลักษณ์แทนบุคคล เหตุการณ์ เรื่องราว ฯลฯ ที่ได้รับการออกแบบสร้างสรรค์ขึ้น เพื่อกระตุ้นเตือนเน้นย้ำความทรงจำให้คิดถึงหรือนึกถึงอยู่เสมอในบุคคล เหตุการณ์ หรือ เรื่องราว ฯลฯ
ของที่ระลึกเมื่อให้โอกาสที่ต่างกันอาจมีชื่อเรียกที่ต่างกันออกไป เช่น หากนำไปให้แก่ผู้ที่รักและนับถือ เรียกว่า “ของกำนัล” หากนำสิ่งของให้แก่เจ้าของขวัญเมื่อสำเสร็จพิธีทำขวัญแล้ว หรือให้กันในเวลาอื่นแล้วเป็นการถนอมขวัญหรือเพื่ออัธยาศัยไมตรี เช่น วันปีใหม่ วันเกิด วันแต่งงาน เรียกว่า “ของขวัญ” และหากให้ตอบแทนผู้มาช่วยงาน เช่น งานแต่งงานและงานศพ เรียกว่าของ “ชำร่วย” (ราชบัณฑิตยสถาน 2525 : 135 และ 270) เรียกว่า “ของแถมพก” เมื่อให้เพื่อเป็นสินน้ำใจ
การที่จะใช้เรียกเชื่อใดหรือให้ในโอกาสใดก็ตาม จุดหมายย่อยอาจแตกต่างกันไปตามวาระและกำหนดนิยม แต่จุดหมายที่แท้จริงก็คือเป็นการให้เพื่อกระตุ้นเตือนหรือเน้นย้ำความทรงจำ อันอยู่ในขอบข่ายของ “ของที่ระลึก” นั่นเอง
ประวัติความเป็นมา
ประวัติความเป็นมาของ “ของที่ระลึก” นั้นเป็นสิ่งที่ยากแก่การสืบค้นหาหลักฐาน ทั้งนี้เนื่องจากการให้วัตถุสิ่งของในลักษณะของที่ระลึกจริงๆ นั้น มิไดมีบันทึกหรือหลักฐานใดๆ ที่กล่าวไว้โดยตรง แต่ถ้าจะกำหนดยืดจากพฤติกรรมการประดิษฐ์สร้างสรรค์ชองมนุษย์ โดยถือเอาสิ่งที่มนุษย์รู้จักสร้างขึ้นมานั้นเป็น “ของ” และพฤติกรรมการให้ การเผื่อแผ่แบ่งปัน เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้รับเกิด “การระลึก นึกถึงหรือคิดถึง” ผู้ให้แล้วก็พอที่จะสันนิฐานสรุปกล่าวได้ว่า “ของที่ระลึกนั้นมีการมอบให้แก่กันมานับตั้งแต่มนุษย์พวกแรกที่เกิดขึ้นมาบนโลกแล้ว และสิ่งหรือวัตถุที่ให้แก่กันนั้นย่อมก่อให้เกิดความพึงพอใจร่วมกันในระหว่างผู้ให้กับผู้รับ อันอาจนับเป็น “วัตถุแห่งความยินดี” ที่นำไปสู่ความคิดถึงหรือนึกถึงต่อกัน
หากกำหนดยึดพฤติกรรมการให้สิ่งหรือของแก่กัน โดยถือสิ่งของนั้นเป็นของที่จะนำมาซึ่งการระลึกถึงดังนี้ ก็พอจะกำหนดลำดับรูปแบบของที่ระลึกได้คือ
สิ่งหรือวัตถุที่ให้แก่กันในช่วงแรกสุด น่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีวิตนั่นคือ “อาหาร” อันได้แก่เนื้อสัตว์ที่ได้มาจากการล่า เพราะมนุษย์ในยุคชุมชนบุพกาลแรกเริ่มสุด มีสภาพความเป็นอยู่คล้ายสัตว์ ดำรงชีวิตอยู่ในถ้ำน้ำแข็งซึ่งมีบรรยากาศอันหนาวเย็น อาศัยอยู่ตามถ้ำ ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ การออกล่าสัตว์ร่วมกันและแบ่งปันกันหลังจากที่ล่าในอัตราส่วนที่เพียงพอแก่การบริโภค ที่เหลือก็นำไปเผื่อแผ่แก่พวกพ้องหรือผู้ไกล้ชิดก่อให้เกิดความพึงพอใจและสร้างความยินดีแก่ผู้รับ สิ่งที่ให้อาจอยู่ในลักษณะ “ของขวัญ” หรือ “ของกำนัน”
และผลพลอยได้จากการล่าสัตว์เป็นอาหาร ส่วนต่างๆ ของสัตว์ มนุษย์ได้นำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยหนังทำเครื่องนุ่งห่ม กระดูก เขี้ยว เล็บ งา เขา ฯลฯ นำมาประดิษฐ์สร้างเป็นเครื่องใช้ไม้สอยเครื่องประดับ และอื่นๆ ดังนั้น วัตถุหรือสิ่งที่พึงให้แก่กันได้นอกจากอาหารแล้ว ก็น่าจะอยู่ในรูปลักษณะของเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับและวัตถุทางศิลปะ ที่เกิดขึ้นโดยการนำเอาสิ่งที่ได้จากธรรมชาติมาใช้ เช่น หิน เปลือกหอย กระดูก ไม้ น้ำเต้า ฯลฯ ครั้งต่อมาเมื่อมนุษย์มีการพัฒนาการทางด้านความเป็นอยู่ และวิวัฒนาการทางด้านสังคมมากขึ้น สิ่งที่ประดิษฐ์สร้างสรรค์ได้รับการพัฒนาขึ้น รูปแบบเพิ่มมากขึ้น เช่น มีการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ทอเครื่องนุ่งห่ม ทำภาชนะดินเผา สร้างสิ่งสัญลักษณ์และศิลปะวัตถุ เหล่านี้คือสิ่งที่กล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสิ่งที่จะมอบให้แก่กันอีกระดับหนึ่ง คือแทนที่จะให้สิ่งธรรมชาติตอนต้นๆ ก็มีการสร้างสิ่งใหม่ขึ้น เช่น เครื่องนุ่งห่มที่เกิดจากการทอ ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา เป็นต้น และที่สำคัญ คือ มีระบบการแลกเปลี่ยนเกิดขึ้นเป็นการนำเอาผลผลิตของกลุ่มแรงงานที่ต่างกันาแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เช่น พวกเพาะปลูกนำผลผลิตของตนมาแลกกับพวกล่าสัตว์ เป็นต้น
ระบบการแลกเปลี่ยนเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ชุมชนขยายมากขึ้น กระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงกลุ่มแรงงานเพื่อพัฒนาการผลิตแต่ละประเภทของตน ระบบการแลก
เปลี่ยน นอกจากจะกระทำกันภายในชุมชนเดียวกันแล้วยังมีการแลกเปลี่ยนกับสังคมวงนอกทำให้เกิดการพัฒนามาเป็นการค้าขายกันในที่สุด ซึ่งเมื่อเกิดระบบการแลกเปลี่ยนและค้าขายแล้ว การรับอิทธิพลทางด้านรูปแบบผลผลิตจากกันก็ทำให้รูปแบบผลผลิตการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา รวมทั้งการพัฒนาค้นพบวัสดุที่จะนำมาใช้ในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ อีกมากมายจนถึงปัจจุบัน
3.1.2 สาเหตุที่ทำให้ของที่ระลึกมีรูปแบบที่แตกต่างกัน
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รูปแบบของที่ระลึกมีความแตกกันออกไปอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณะของบริโภค เครื่องใช้ไม้สอย ตลอดจนเครื่องประดับหรือวัตถุทางศิลปะก็ตาม สาเหตุที่ทำให้รูปแบบของสิ่งเหล่านี้แตกต่างกันก็เนื่องมาจากเงื่อนไขอิทธิพลของ
1.วัสดุที่ใช้ทำ (Material)
2.เทคนิคการทำ (Technique)
3.ค่านิยมหรือประเพณีในท้องถิ่น (Tradition Fashion)
3.1.3 ความแตกต่างอันเนื่องมาจากวัสดุที่ใช้ทำ (Material)
โยสภาพทางภูมิศาสตร์และดินฟ้าอากาศอันแตกต่างกันของแต่ละท้องถิ่น ทำให้ทรัพยากรและวัสดุในแต่ละที่ไม่เหมือนกัน บางแห่งเป็นป่าเขา บางแห่งเป็นที่ราบลุ่มประกอบด้วยแม่น้ำลำคลอง หนอง บึง ฯลฯ จุดเริ่มต้นของรูปแบบ มนุษย์นำเอาวัสดุธรรมชาติมาแปรรูปและประกอบกันข้า กลายเป็นสิ่งใหม่แทนของธรรมชาติและกลายเป็นสัญญาลักษณ์ หรือตัวแทนธรรมชาติที่ใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์
การที่วัสดุในแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน ย่อมทำให้สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้นแตกต่างกัน เช่น ในท้องถิ่นที่เป็นป่าดงลานก็ย่อมได้ลานทำผลิตภัณฑ์ใบลาน ในท้องถิ่นที่ปลูกข้าวก็ได้ฟางข้าวมาเป็นเชื้อเพลิงในการทำเครื่องปั้นดินเผา จากไร่จากสวนก็ได้ใบตองมาสร้างสรรค์ประดิษฐ์ จากป่าไผ่ก็ได้ผลิตภัณฑ์เครื่องจักสานดังนี้เป็นต้น (นิจ หิญชีระนันทน์ 2526 : 10 ) นั่นคือผลจากทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นที่มนุษย์ผู้ทำอาศัยอยู่ต่างกัน
ส่วนความแตกต่างกันของรูปแบบอีกประการ แม้ในท้องถิ่นเดียวกันจะนำวัสดุในท้องถิ่นชนิดเดียวกันมาใช้เป็นวัตถุดิบในการสร้างสรรค์ แต่รูปแบบของสิ่งที่สร้างก็อาจแตกต่างกันออกไปได้ เช่น ในท้องถิ่นที่มีต้นไผ่ บ้างนำมาสานเป็นหมวก บ้างทำตะกร้า บ้างทำพัด บ้างทำชะลอม ฯลฯ สุดแท้แต่เงื่อนไขประกอบคือประโยชน์และหน้าที่ในการนำไปใช้เป็นสำคัญ นอกจากนี้การที่มนุษย์รู้จักนำเอาวัสดุใช้ในแต่ละช่วงเวลาแห่งพัฒนาการ ก็เป็นสาเหตุทำให้รูปแบบของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นแตกต่างกันออกไปได้อีก เช่น มนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์รู้จักการนำเอาวัสดุที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เช่น หิน เปลือกหอย หนังสัตว์ กระดูก ไม้ ใบไม้ ฯลฯ มาใช้ประโยชน์ต่อการดำรงชีพ โยส่วนใหญ่ได้คงรูปแบบธรรมชาติเดิมของวัสดุนั้นไว้ ต่อมาจึงมีการประดิษฐ์ดัดแปลง แต่ง ต่อ เติม เพิ่ม ลดรูปแบบของวัสดุธรรมชาติให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพในการใช้สอย และมีความสวยงามยิ่งขึ้น
ครั้นเมื่อมนุษย์สามารถคิดค้นวัสดุอย่างใหม่ขึ้นมานอกเหนือธรรมชาติ รูปแบบของสิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์ก็เปลี่ยนแปลงไปอีก โดยถือเอาความสอดคล้องกับคุณสมบัติทางกายภาพของวัสดุและคุณประโยชน์ในด้านการนำเอาไปใช้เป็นสำคัญในระยะแรก ระยะต่อมาถือเอาคุณค่าทางด้านความงามมาประกอบร่วมเมื่อความต้องการทางด้านการใช้สอยลดลง ดังนั้น จึงอาจสรุปกล่าวได้ว่าตราบเท่าที่มนุษย์ยังสามารถคิดค้นวัสดุอย่างใหม่ขึ้นมาไว้ใช้ รูปแบบของสิ่งที่มนุษย์จะพึงสร้างและมอบให้แก่กันก็จะเปลี่ยนแปลงไปตราบนานเท่านาน
3.1.4ความแตกต่างอันเนื่องมาจากเทคนิคการทำ (Technique)
สิ่งใดก็ตามที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยมนุษย์ ย่อมมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านรูปแบบและวิธีการสร้างทั้งนี้เนื้อมาจากมนุษย์มีการพัฒนาทางด้านสติปัญญา และมีวิวัฒนาการทางด้านการผลิตอันเป็นผลเนื่องมาจากการเรียนรู้ ทักษะ และความชำนาญ การพัฒนาทางด้านสติปัญญาทำให้รู้จักสร้างสรรค์ดัดแปลง แต่ง ต่อ เติม เพิ่ม ลดรูปแบบให้สอดคล้องกับความต้องการทั้งด้านการใช้สอยและความงาม
ส่วนวิวัฒนาการทางด้านการผลิตอันเป็นผลมาจากการเรียนรู้ ทักษะ ความชำนาญ ทำให้รู้จักดัดแปลงสร้างสรรค์เทคนิควิธีการผลิต ตลอดจนคิดค้นหาเครื่องมือเครื่องใช้ที่มีประสิทธิภาพมาช่วยในการผลิต ซึ่งทั้งเทคนิคในการสร้างและเครื่องมือช่วยในการสร้างสิ่งต่างๆ นี้ ส่งผลให้รูปแบบสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นแตกต่างกัน เพราะขีดจำกัดของความสามารถในการผลิตแต่และเทคนิคการทำนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะในปัจจุบันจากเทคโนโลยีความก้าวหน้าในเรื่องเครื่องจักกล ยิ่งเป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยในการสร้างผลิตสิ่งของ เครื่องใช้เครื่องประดับ ฯลฯ ให้มีรูปลักษณะที่ผิดแผกแตกต่างกันออกไปตามความต้องการออกแบบสร้างสรรค์ของมนุษย์ได้เกินกำหนด และบางก็เกินความคาดหมาย จากเทคนิคการทำอันมากมายนี้ ทำให้สามารถที่จะเลือกสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจากกรรมวิธีที่ต่างกันได้ ซึ่งอาจเป็นงานฝีมือที่ผลิตสร้างด้วยมือและเครื่องมือทีทำจำเพาะ อันเป็นงานที่แสดงออกถึงความสามารถ ทักษะ และความชำนาญของตัวผู้สร้าง สิ่งสร้างขึ้นโดยที่อาศัยเทคนิคการผลิตระหว่างงานฝีมือกับเครื่องจักกล กับงานที่สร้างขึ้นโดยเครื่องจักกล ซึ่งแต่ละอย่างมีคุณค่าที่แตกต่างกันไปตามต้นกำเนิด หากเป็นงานฝีมือ คุณค่าของงานก็อาจอาจอยู่ที่ความเพียรพยายาม ความน่าทึ่งในฝีมือและสมองของผู้ทำ หากเป็นงานผสมของผู้ทำ หากเป็นงานผสมรวมระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรกล คุณค่าของงานอาจอยู่ที่ความสามารถในการผลิตเป็นจำนวนมากโดยใช้ระยะเวลาอันสั้น อีกทั้งความประณีตทนทานอาจมากขึ้น ส่วนผลงานที่ผลิตสร้างด้วยเครื่องจักรกลโดยตรง คุณค่าที่ปรากฏอาจเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ คือ มีราคาซื้อขายถูกลง จำนวนมากขึ้นรูปแบบการผลิตอาจอยู่ในขีดขั้นเกินความสามารถของมนุษย์
3.1.4 ความแตกต่างอันเนื่องมาจากค่านิยมหรือประเพณีนิยมในท้องถิ่น (Tradition Fashion)
แต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ สภาพดินฟ้าอากาศ ทรัพยากร และวัสดุในแต่ละท้องถิ่นไม่เหมือนกัน ทำให้รูปแบบและรูปร่างของสิ่งที่สร้างขึ้นต่างกันออกไป และมีการสืบทอดวัฒนธรรมทางรูปแบบโดยการสร้างสมทางปฏิบัติกัน จนชั่วคนหนึ่ง และจากการศึกษารูปร่างของเครื่องใช้ ผลผลิตภัณฑ์บางชนิด ทราบได้ว่าเทคนิคการทำนั้นอาจคล้ายคลึงกัน แต่ทางด้านรูปร่าง รูปแบบ หรือลวดลายย่อมมีความแตกต่างกันออกไปตามความนิยมของท้องถิ่น
3.2 คุณสมบัติวัสดุ – อุปกรณ์ ของเรซิ่น ที่ควรรู้จัก
3.2.1 โพลีเอสเทอร์เรซิ่น หรือ เรียกสั้นๆว่า “เรซิ่น” (Unsaturated Polyester Tesin) มีลักษณะข้นคล้ายน้ำมันเครื่อง มีกลิ่นฉุนมีสีต่างๆ แล้วแต่บริษัทผู้ผลิตจะเป็นผู้กำหนด มีเนื้อสี สีน้ำตาลอ่อน สีฟ้า สีแดง สีขาวใส ฯลฯ เบอร์เรซิ่นมีหลายเบอร์ แต่ละเบอร์มีคุณลักษณะแตกต่างกันไป จะกล่าวถึงเบอร์ที่นิยมใช้ และมีขายทั่วไปหาซื้อได้ไม่ยากนักดังนี้ TP177, RC288, UP240, CP130, CP140, CP115, UP001
ฯลฯ เรซิ่นบางชนิดผู้ผลิตสั่งมาเฉพาะเท่านั้น
3.2.2 ตัวม่วง คือสารเคมีที่ใช้ผสมกับเรซิ่น เพื่อช่วยเร่งให้เกิดปฏิกิริยาแข็งตัวช้าหรือเร็ว ตัวม่วงนี้แล้วแต่บริษัทผู้ผลิตจะกำหนด ชนิดที่นิยมใช้ (Cobalt Naphthenate) หรือเรียกอีกชื่อว่า Cobalt มีลักษณะสีม่วง อัตราส่วนผสมเรซิ่น เปอร์เซ็นต์ ผสมตัวม่วง 1 เปอร์เซ็นต์ (ปริมาณที่ผสมลงในเรซิ่นคือ 0.1-1% ของความเข้มข้นเรซิ่น 6% ) ส่วนมากจะผสมมาแล้ว เพื่อความสดวกแก่ผู้ใช้
3.2.3 ตัวทำแข็ง (Hadener) เป็นสารเคมีที่ผสมกับเรซิ่น ให้แข็งตัวเร็วขึ้น ตัวทำแข็งมีอยู่หลายชนิดแล้วแต่บริษัทผู้ผลิตจะกำหนดไว้
4. เออร์กอนอมิกส์
ในปัจจุบันมีความกว้าหน้าในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างสูง นักออกแบบทั้งหลายจะพบว่าการศึกษาวิขาเออร์กอนอมิกส์ (Ergonomics) เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงานออกแบบได้มาก วิชานี้เพียงแต่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความสดวกสบายในการดำรงชีวิตทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่ยังสามารถยกระดับคุณค่าของความเป็ยมนุษย์ในสังคมและวัฒนธรรมปัจจุบันได้อย่างมาก (ออส่วน “นีไงออกแบบผลิตภัณฑ์” : 2543 83-85 )
จากเนื้อหาวิชาให้ทราบถึงความสามารถ (Possiblities) และขีดจำกัด (Limits) ทางกายภาพของมนุษย์ ซึ่งจะมีผลกับการจัดระบบการทำงานหรือการดำเนินชีวิตที่มีความสัมพันธ์กันระหว่างคนและเครื่องจักรกล (Man-Machine Sygonmics)
ในกลุ่มเนื้อหาของวิชา (Ergonomics) นั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
4.1 ข้อมูลที่คนรับรู้ (Information Input)
เป็นการศึกษาที่ออกแบบวิธีการสื่อสารข้อมูลระหว่างมนุษย์กับอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ตลอดจนสภาพแวดล้อม มีความสำคัญสำหรับการออกแบบส่วนแสดง (Display) ในลักษณะต่างๆ เช่น ทางการมองเห็น (Visual), ทางการได้ยิน (Auditory) ทางกายประสาทสัมผัส (Tactual) และทางการได้กลิ่น (Olfactory) เป็นต้น
4.1.2การปฏิบัติงานและการควบคุม (Human Outpand Control)
เป็นการศึกษาถึงลักษณะการเคลื่อนไหวเพื่อปฏิบัติงาน ควบคุมเครื่องมือ อุปกรณ์ และผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทราบถึงความสามารถและขีดจำกัดในการทำงานของมนุษย์ ทำให้นักออกแบบนำไปประยุกต์ใช้งานในการออกแบบ ส่วนความควบคุมต่างๆ ของผลิตภัณฑ์ เช่น การออกแบบส่วนปิด-เปิด อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
นอกจากนี้การศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับกล้ามเนื้อมือและแขน ยังทำให้สามารถออกแบบเครื่องมือทั้งในลักษณะของ Hand และ Machine Tool ได้อย่างมีประสิทะภาพด้วย
4.1.3การจัดบริเณเนื้อที่ในการทำงาน (Work Space and Arrangement)
เป็นการศึกษาเรื่องขนาดสัดส่วน และมิติต่างๆ ที่คนจะสัมผัสกับบริเวณเนื้อที่ใช้สอย ในจุดประสงค์ต่างๆ กัน ทั้งในการทำงานและเพื่อประโยชน์ต่างๆ เช่น การหาระยะน้อยสุด (Minmum) และมากสุด (Maximum) ในการเอื้อมมือของคนตัวเล็กและคนตัวใหญ่ เพื่อนำไปใช้ออกแบบบริเวณทำงานเป็นต้น
4.1.4การจัดเรื่องสภาพแวดล้อม (Environment)
เป็นการเรียนรู้ทางสภาพแวดล้อมของมนุษย์ เช่น แลง เลียง ที่ให้ผลทางด้านกายภาพ (Physiological Effect) ต่อการทำงานของมนุษย์การจัดการให้เหมาะสมทำให้มนุษย์สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การศึกษาทางด้านเออร์กอนอมิกส์ นับว่ามีความสำคัญต่อการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยนักออกแบบสามารถเลือก “ประเด็นน่าสนใจ” จากพื้นฐานวิชานี้มาใส่ลงในแนวความคิดเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีคุณค่าน่าสนใจขึ้น เช่น ผลิตภัณ์ประเภท High Ergo เป็นต้น
อนึ่ง ศาสตร์ด้านเออร์กอนอมิกส์ นั้นจะมีการพิสูจน์หาข้อมูลและข้อยุติ ลักษณะทางการศึกษาวิชานี้จึงเป็นไปในรูปแบบของการศึกษาทฤษฎีหลักการ มีการทดลองพิสูจน์หาข้อเท็จจริง มีการหาสถิติและประเมิณผล เพื่อให้ได้สรุปชัดเจน เชื่อถือได้

No comments: